วันนี้บังเอิญเจอบทความที่ชี้แจงเรื่องนี้แบบละเอียดยิบ เป็นบทความของ คุณ Greg เจ้าของโปรแกรม JungleScount อ่านเนื้อหาเต็มๆ The FBA Profit Calculator: Your Secret To Success on Amazon
สำหรับบทความนี้จะเป็นการสรุปและเรียบเรียงในบางส่วน เพื่อให้ง่ายและใช้งานได้ครับ
ต้องสารภาพก่อนว่า ส่วนตัวผมไม่ได้คำนวณอะไรละเอียดแบบบนี้ ส่วนตัวผมใช้แค่ “สูตรนับนิ้ว” เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น เป็นการคิดเลขในใจง่ายๆ สำหรับสินค้าที่จะขายบน Amazon
Table of Contents
การประเมินสินค้าเพื่อนำไปขายของใน amazon เราทำได้ 2 แนวทาง
- ใช้ตารางคำนวน (ฟรี)
- ใช้โปรแกรมช่วย (ไม่ฟรี)
ตารางประเมินกำไรจากวิธีขายของใน amazon
**คำแปลบางตัวอาจจะแปลกๆ (ช่วยแนะนำได้นะครับ ใส่ในช่องคอมเม้นด้านล่างเลย)
จากตารางด้านล่างนี้ ช่องสีฟ้า คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ และต้องระบุลงไป เราจะมาลองไล่ดูกันไปทีละตัวครับ
คุณสามารถเซฟตารางนี้ไว้ใช้ได้ คลิกที่นี่ แล้วไปที่เมนูคำสั่ง เลือก Make a copy ตารางก็จะถูกบันทึกใน Google Doc ของคุณทันที ฟรีครับ
ผมจะใช้ สินค้าชิ้นแรกตอนที่ผมเริ่มต้นขายของใน Amazon เป็นตัวอย่าง
นั่นก็คือ… ยานวดตราเสือ (TIGER BALM NECK & SHOULDER RUB)
เริ่มต้นที่ส่วนของ “รายรับ” ในช่อง “ราคาขายจริง” ผมนำ ราคาที่เป็น BuyBox อยู่ตอนนี้มาใส่ คือ 23.69 usd
จากนั้นมาที่ส่วนของ “รายจ่าย” ช่องแรกที่ต้องระบุค่าก็คือ “ค่าธรรมเนียมที่อเมซอนหักเมื่อขายได้” ตรงนี้เราสามารถคำนวณได้จากเครื่องมือของอเมซอนที่ชื่อว่า Fulfillment by Amazon Revenue Calculator
วิธีการใช้งานเจ้าเครื่องคำนวณของอเมซอนก็ไม่ยากครับ แค่นำ ASIN ของสินค้าไปใส่ในช่องตามรูปเลย
ก็จะได้ข้อมูลตามรูปด้านล่างนี้
ให้เรานำราคาขาย 23.69 มาใส่ในช่อง Item Price ได้เลย ถ้าคุณส่งสินค้าแบบ FBM (ส่งเองจากไทย) ค่าธรรมเนียมรวมก็จะต่างจาก การจัดส่งแบบ FBA ใส่แค่ช่อง Item Price แล้วคลิกที่ปุ่ม Calculate
เราจะนำค่า Cost Subtotal ไปใส่ในส่วนของ “ค่าธรรมเนียมที่อเมซอนหักเมื่อขายได้“
สมมุติว่าผมขายแบบ FBM คือส่งเองจากไทย นำค่า 3.55 usd ไปใส่ในตารางคำนวน ช่องถัดมาคือ “ต้นทุนสินค้า” เราก็ใส่ราคาจริงที่เราซื้อสินค้านั้นมา
ผมลองค้นหาราคาสินค้าในไทย ที่ขายผ่านเว็บว่าราคาประมาณเท่าไหร่ ก็ต้องพบความจริงอันโหดร้าย…
ราคาหลอดละ 159 บาท !!!
แต่เนื่องจากลิสนี้ขายแบบแพค 4
ดังนั้นในช่อง “ต้นทุนสินค้า” จึงเท่ากับ 159×4 = 636 บาท
คิดเป็น usd = 18.13 usd
ต่อมาเป็น “ค่าจัดส่ง“
ตรวจสอบค่าจัดส่งเบื้องต้นกับไปรษณีย์ไทย คลิกที่นี่
ผมระบุประเทศปลายทางคือ สหรัฐอเมริกา จากนั้นนำข้อมูลน้ำหนักสินค้าจากเว็บผู้จำหน่ายมาใส่ (หลอดละ 50 กรัม = 50×4 รวมเป็น 200 กรัม) เมื่อคลิกที่ปุ่มคำนวน ระบบจะแสดงราคาค่าจัดส่งในรูปแบบต่างๆ มาให้
ผมเลือกรูปแบบการจัดส่งที่ “คุ้มค่า” ที่สุดกับการขายของออนไลน์
นั่นคือ พัสดุย่อยทางอากาศ ราคา 126 บาท (ค่าลงทะเบียนอีก 65 บาท)
รวมเป็น 126+65 = 191 บาท
เท่ากับ 5.44 usd นำไปใส่ในช่อง “ค่าจัดส่ง“
ช่อง “ค่าโฆษณา” สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นขายของใน Amazon และยังไม่เข้าใจการใช้งาน Amazon Sponsor Ads ก็อาจจะใส่เป็น 0 (ศูนย์) ไปก่อนก็ได้
ถัดมาช่อง “% การขอคืนสินค้า“
ช่องนี้เราจะใส่ค่าเฉลี่ยการขอคืนสินค้า (Refund & Return) ซึ่งแต่ละคนก็จะไม่เท่ากัน
โดยปกติแล้วค่านี้มีผลกับ Seller Performance ด้วย
ดังนั้น การมี % การขอคืนสินค้าที่มาก จึงไม่เป็นผลดีกับ Account Seller ของเรา
ค่า Refund Rate เราสามารถเข้าไปดูในส่วนของ Customer Metrics ช่องด้านขวามือสุด ผมใส่ค่าเฉลี่ย (ประมาณ) 1.5%
และในช่องสุดท้าย “ค่าใช่จ่ายอื่นๆ เช่น แพคเกจ, ค่าเดินทาง …“
ถ้ามีก็ใส่ลงไปได้เลยครับ ในการทดสอบนี้ผมเว้นว่างไว้
ระบบได้คำนวนออกมาดังนี้ครับ
บอกเลย …ตะเตือนไตมาก
กำไรสุทธิ เท่ากับ -$3.79
หมายความว่า จากเงื่อนไขที่กำหนดนี้ เมื่อคุณขายได้ คุณจะต้องควักเงินตัวเองให้อเมซอนอีกร้อยกว่าบาท
แถวบ้านผม เรียกว่า ขาดทุนทุกครั้งที่ขายได้
อ้าว… แล้ว (มึง) จะทำไปทำไมหล่ะ (หลายคนมีคำถามแบบนี้ในใจ) ??
คำตอบก็คือ… ใช่ ถ้าแบบนี้จะทำไปทำไมหล่ะครับ
จากเคสตัวอย่างนี้ ถ้าเป็นชีวิตจริง คุณจะได้ 2 อย่าง
- ประสบการณ์จริงในสนาม Amazon
- ได้ยอดขาย อย่าสับสนระหว่างยอดขาย กับกำไรนะครับ (ไอ้ที่โชว์ๆ กันหน่ะ ยอดขายทั้งนั้น)
แต่ความสามารถของตารางนี้ยังไม่หมดครับ
ตั้งราคาขายเท่าไหร่? …ไม่ให้เข้าเนื้อ !!??
ในส่วนสุดท้ายจะให้คุณสามารถระบุได้ด้วยว่า
ถ้าต้องการ “กำไร XXX” ต้องตั้งราคาขายเท่าไหร่ ??
วิธีการก็ง่ายๆ ครับ แค่ระบุกำไรที่ต้องการลงไปในช่องสีฟ้า
จากรูปด้านบน ถ้าต้องการกำไร (ต่อชิ้น) ที่ 40 usd, ผมต้องตั้งราคาสินค้าชิ้นนี้ที่ 67.48 usd (เป็นอย่างน้อย)
JS ตัวช่วยประเมินสินค้า
JS หรือ JungleScout เป็นโปรแกรมเก็บสถิติและช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าบน Amazon ในคลิปวีดีโอนี้ ผมจะรีวิวการใช้งาน และให้เห็นความสามารถอื่นๆ ของตัวโปรแกรม ที่คุณอาจไม่เคยเห็น หรือมองข้ามไป
จะเห็นว่า นอกจากจะช่วยลดเวลาการทำงานแล้ว การใช้โปรแกรมยังช่วยให้เราเห็นสิ่งที่เราอาจมองข้ามไป
ถึงตรงนี้ น่าจะช่วยตอบคำถามที่ว่า ตั้งราคาขายเท่าไหร่ดี ? ขายเท่านี้ขาดทุนมั้ย ? ได้บ้างนะครับ
ลองนำวิธีการและเครื่องมือเหล่านี้ไปปรับใช้กับสินค้าของคุณได้เลยนะครับ ถ้ามีคำถามตรงไหนที่ไม่ชัดเจน พิมพ์ไว้ในช่องคอมเม้นได้เลยครับ
Leave a Reply