เพื่อนๆ ที่ สมัครขายสินค้ากับ amazon ทุกคนน่าจะเคยได้รับอีเมล์เชิญชวนให้เข้าร่วมบริการของ Amazon ที่มีชื่อว่า FBA – Fulfillment By Amazon
ลองมาดูกันดีกว่าครับว่า เจ้าบริการนี้มันคืออะไร และมีดียังไงที่ทำให้คุณต้องหันมาสนใจ
Table of Contents
พูดให้ง่ายและสั้นที่สุด บริการ FBA คือ การที่เราส่งสินค้าของเราไปเก็บไว้ที่โกดังของอเมซอน ที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ
เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจากเรา ทาง amazon จะทำการดูแล และจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว
ด้วยเงินลงทุนที่ amazon ทุ่มไปกับระบบ logistic เพื่อสร้างระบบการกระจายสินค้าขั้นเทพ จึงไม่แปลกที่บริการนี้จะโดนใจ ได้ใจลูกค้าไปเต็มๆ แน่นอน
ปัจจุบันระบบ FBA มีให้บริการแล้วในหลากหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, อังกฤษ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, ญี่ปุ่น และจีน
ที่สำคัญ!! ทั้งคุณและผมในฐานะผู้ขาย (Seller) ก็สามารถเข้าถึงและใช้งานสุดยอดระบบการจัดส่งสินค้านี้ของ amazon ได้เช่นกัน
Amazon FBA กับผู้ขายตาดำๆ
สำหรับบริการ FBA ทางอเมซอน คิดค่าบริการต่างๆ จากเราในฐานะผู้ที่ส่งสินค้าเข้าไปและผู้ขายด้วย โดยแยกออกเป็นหลายส่วนด้วยกัน ซึ่งเราสามารถทดลองคำนวณค่าธรรมเนียมต่างๆ ได้จาก FBA Calculator
ศึกษารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมได้จาก เอกสารแนะนำบริการ FBA โดย Amazon ครับ
เมื่อสินค้าของเราเข้าไปอยู่ในระบบ FBA แล้ว เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าทาง amazon จะดำเนินการจัดส่งให้เราและอีเมล์หมายเลข tracking number มาให้เราด้วย
เรียกได้ว่า แค่ส่งสินค้าไปไว้กับ FBA จากนั้นที่เหลือก็ให้ amazon เป็นคนจัดการได้เลย สบายดีมั้ยครับแบบนี้
นอกจากความสะดวกสบายและประหยัด รวมถึงสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมโปรโมชั่นกับ amazon ที่เราๆ ท่านๆ ในฐานะผู้ขายจะได้รับแล้ว
ในฝั่งของผู้ซื้อสินค้า หรือลูกค้าของเรา ก็จะได้รับบริการที่ดีเยี่ยมด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น:
- บริการการจัดส่งที่รวดเร็วกว่า
- บริการ Support ตอบข้อสงสัยแบบ 24 ชั่วโมงโดย amazon
- บริการ FBA Return ที่ลูกค้าสามารถคืนสินค้าได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (ตามเงื่อนไขของอเมซอน)
และยิ่งพิเศษขึ้นไปอีก ถ้าลูกค้าเป็นสมาชิก Amazon Prime
FBA and Prime and Customer
Amazon Prime คือ ระบบสมาชิกที่ลูกค้าสามารถสมัครได้ โดยมีค่าธรรมเนียมรายปี ปีละ 79 usd เพื่อแลกกับสิทธพิเศษต่างๆ จาก Amazon เช่น
- จัดส่งสินค้าฟรี (2 Day Free Shipping)
- เพิ่มเงินแค่ 3.99 usd สำหรับการส่งสินค้าแบบ one night shipping
- รับสิทธิยืมอ่านหนังสือจาก Kindle Lending Library
- เข้าถึงข้อมูลภาพและเสียงแบบ Steaming ทั้งหนังและเพลงจาก amazon
- จัดส่งสินค้าแบบห่อของขวัญฟรี
- และอื่นๆ
ทั้งหมดนี้แค่ปีละ 79 usd (จากข้อมูลล่าสุด คาดว่ามีลูกค้าที่สมัครสมาชิก Amazon Prime ไปแล้วกว่า 10ล้าน account)
คนเหล่านี้จัดว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับการบริการ และความรวดเร็วในการจัดส่ง
ดังนั้น หากสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่สต๊อคอยู่กับ Amazon FBA
ผมคิดว่านะจะเปิดโอกาสดีๆ ให้กับสินค้าของคุณด้วยเช่นกัน
FBA ไม่ใช่คำตอบสำหรับสินค้าทุกตัว
ก่อนที่คุณจะตกหลุมรักบริการ Amazon FBA จนหัวปักหัวปำ
ผมมีข้อสังเกตุที่อยากให้คุณพิจารณา เพราะสินค้าบางประเภท คุณต้องคิดให้ดีๆ ก่อนจะส่งไป FBA
ผมรวบรวมได้คร่าวๆ 4 ข้อ ประมาณนี้ครับ
- สินค้าที่มีส่วนต่างราคาหรือกำไรน้อย ไม่ใช่ว่าสินค้าทุกชิ้น ทุกอย่างจะเหมาะสำหรับการส่งเข้าระบบ FBA ผมแนะนำให้คุณทดลองเปรียบเทียบกำไร จากโปรแกรมคำนวณของอเมซอน FBA calc ก่อนตัดสินใจส่งสินค้าครับ
- สินค้าที่มีราคาสูง เนื่องจากปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ระบบ FBA ก็มีจำนวนมาก และขั้นตอนการจัดส่งจากเมืองไทย ไปยังโกดังของ amazon อาจเกิดการสูญหายของสินค้าได้ ดังนั้นสินค้าจำนวนมากๆ และราคาสูงๆ ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นด้วยเช่นกัน
- สินค้าที่มักพบปัญหา ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพก็เช่น หูฟังจากพันธ์ทิพ ที่เป็นหูฟังคุณภาพต่ำๆ ราคาไม่แพง หากคุณส่งสินค้าลักษณะนี้เข้าระบบ FBA และสินค้ามีปัญหาตอนอยู่ในมือลูกค้า ก็อาจทำให้ยอดขอคืนสินค้า (Refund rate) สูงกว่าปกติ และมันมีผลต่อ seller score ของเราเช่นกันครับ
- สินค้าสะสม ถ้าเพื่อนๆ ตั้งใจจะส่งสินค้าสะสมที่หายากๆ หรือมีไม่มีกี่ชิ้นในโลก ไปไว้กับบริการ FBA ผมอยากให้ลองคิดดูดีๆอีกครั้งครับ เพราะปัญหาเกี่ยวกับตัวสินค้า และการสูญหาย อาจทำให้กำไรที่คุณคาดหวัง กลายเป็นขาดทุนได้ทันที
นอกเหนือจากการจัดส่งที่รวดเร็วและถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยแล้ว amazon FBA ยังมีบริการอื่นๆ ที่น่าจะสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้าของคุณและตัวคุณด้วยนั้นก็คือ
- FBA Export บริกาจัดส่งสินค้าให้กับประเภทอื่นๆ ทั่วโลก โดย amazon จะได้รายได้จากค่าบริการ
- FBA Multi-channel คือบริการจัดส่งสินค้าจากโกดังของอเมซอน เมื่อลูกค้าสั่งซื้อจากช่องทางอื่นๆ เช่น eBay, Sear, Target, Walmart ไปจนถึงเว็บร้านค้าของคุณเอง
เพื่อนๆ สามารถ Download เอกสารประกอบ ที่ผมได้จัดทำขึ้น ตอนที่มีโอกาสร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับ Amazon FBA กับเพื่อนๆ จาก กลุ่ม e-Commerce เชียงใหม่
คลิปเสียงจากงาน meeting ที่เชียงใหม่ ช่วยสร้างความเข้าใจเบื้องต้นให้กับเพื่อนๆ ที่สนใจบริการ Amazon FBA
*ขอบคุณคลิปเสียงจากคุณ Tom CT
และผมตั้งใจว่าจะจัด webinar เพื่อสาธิตวิธีการในการทำ FBA แบบง่ายๆ ในโอกาสต่อไป อย่าลืมติดตามนะครับ
สำหรับเพื่อนๆ ที่ลองทำแล้วมีปัญหา มีคำถามสงสัย อย่าเก็บไว้ครับ
ส่งคำถามและร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำ FBA ของคุณไว้ในช่องคอมเม้นได้เลยครับ
Amazon FBA Fee update 2019
Amazon ส่งอีเมล์แจ้ง Seller ทุกคนเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจและผมขอหยิบมาพูดถึงมี 2 เรื่อง
- Storage fees (ค่าเก็บ) อเมซอนแจ้งว่าจะตัดค่าเก็บ 6 เดือนออก เหลือแค่ค่าเก็บสินค้าที่เกิน 365 วันเท่านั้น (มีผลมกราปีหน้า) และนอกจากจะไม่เก็บรายหกเดือน ยังปรับลดค่าเก็บจาก 0.5 ลงเป็น 0.15 ด้วย ซึ่งไม่ใช่ทุกหมวดหมู่จะได้อนิสงค์ในการปรับลดในส่วนนี้นะครับ ลองเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม
- Referral fees (ค่าธรรมเนียมขาย) หลายหมวดหมู่ที่มีการปรับลดลง จาก 15% ลงเป็น 8% อันนี้รักเลย (เท่าที่อ่านดู สินค้ากลุ่ม jewelry น่าจะได้มากสุด จากเดิม 20% ลงเหลือ 5%)
**ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน Amazon US นะครับ
อีกส่วนที่ผมไม่ได้พูดถึงคือupdate Fulfillment fees ที่จะเป็นการปรับในเรื่องการประเมินค่าใช้จ่ายมากกว่าการปรับลดหรือเพิ่ม คลิกอ่านรายละเอียด
สำหรับผู้ขายที่ใช้โปรแกรมช่วยงาน เช่น JS ก็น่าจะต้องรอ update กันอีกสักพักนะครับ เพราะเท่าที่ลองคิดดูคร่าวๆ การคิดคำนวนยังไม่ได้นำกฏใหม่มาใช้
จากโรงงานในจีนไป FBA อเมริกา
ยอมรับว่าผมไม่เคยคิดเลยว่าการรบกันด้านเศรษฐกิจ ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน จะมีผลกระทบกับ Amazon seller อย่างเรา ล่าสุดดูเค้าลางเริ่มชัดขึ้นล่ะ
ประดาบกันด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าเริ่มที่อเมริกามีต่อจีน
ใครที่สั่งของตรงจากโรงงานในจีนเข้า FBA ใน USA ลองเช็คพิกัดภาษีใหม่ (tariff) นะครับ
ลองสอบถามจาก shipping หรือ forwarder ที่คุณใช้บริการ
ตัวอย่าง เดือนสิงหาที่ผ่านมา มีการขยับขึ้นในสินค้าหมวดหมู่เหล่านี้:
- semiconductors
- chemicals
- plastics
- motorbikes
- electric scooters
- antennas
ผู้จำหน่ายสินค้ายักษ์ใหญ่อย่าง Walmart ก็ออกมาเตือนผู้ผลิตที่ส่งสินค้าเข้ามาขาย โดยส่งตรงจากโรงงานในจีน ให้ตรวจเช็คเรื่องนี้อีกรอบ
ผมได้ยินว่า มีกรณีที่ผู้นำเข้าทิ้งของไว้ที่พอร์ต เพราะอัตราภาษีที่ขยับขึ้นมันสูงมากจนขายไม่มีกำไร
รายการสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง คลิกอ่านรายละเอียด
ยังไม่ชัดเจนว่าจีนได้มีมาตรการอะไรที่เป็นการตอบโต้ในเรื่องนี้
seller รากหญ้าอย่างเราๆ คงต้องรอลุ้นกันต่อไป – -!
FBA กับค่าธรรมเนียมแบบ long-term storage fees
ปีละ 2 ครั้งที่คนขายของใน Amazon และทำ FBA จะต้องปัดกวาดสต็อค ด้วยมาตรฐานของอเมซอนที่มีชื่อว่า Long-term storage fees
Long-term storage fees คือค่าธรรมเนียมที่ Amazon เก็บจากผู้ขาย (seller) เพิ่ม
ในกรณีที่มีสินค้าเก็บใน FBA และอายุเกิน 6 เดือนและ 12 เดือน
คำนวณจาก: ขนาดพื้นที่ในการจัดเก็บ (Unit based) x ระยะเวลา !!!
อย่างที่หลายคนทราบ การทำ FBA มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อย (เมื่อมองจากมุมของผู้ขาย)
สำหรับนโยบายเก็บค่าธรรมเนียม long-term storage fees นี้เกิดมาเพื่อป้องกันผู้ขายสินค้าเข้าไปหมักดองในโกดังของ Amazon นั่นเอง
ปีนี้วันที่ 22 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันสรุปค่าธรรมเนียมรอบ 6 เดือน
เข้าไปตรวจดู “จำนวนสินค้า” ที่มีอายุเก็บนาน และ “ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย” ได้ในส่วนของ Inventory Health คลิกที่นี่ (log in)
แนวทางในการจัดการกับ FBA Long-term Storage fees
1. เคลียสต็อคก่อน 22 กุมภานี้
ในฐานะผู้ขายสามารถทำได้ 2 แนวทาง (บางช่วงจะมี 3)
- ส่งกลับ (ตอนนี้ Amazon ยังส่งกลับตรงๆ ได้แค่ในอเมริกา ถ้าจะกลับไทยต้องจ้าง shipping อีกทอดหนึ่ง)
- ทำลายทิ้ง ส่วนนี้อเมซอนคิดค่าธรรมเนียมในการทำลายเช่นกันครับ (ตามขนาด)
- ขายยกล็อต Liquidation ผ่าน (Amazon) โดยเราต้องลดราคาสินค้าลง และจ่ายค่าธรรมเนียมเมื่อขายได้ให้ Amazon (ทางเลือกนี้จะมีแค่บางช่วงเวลาเท่านั้น)
จะเห็นว่าทั้ง 3 แนวทง seller ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนะครับ จะมากหรือน้อยแค่นั้นเอง
2. เรียนรู้ และบริหารสต็อคให้ดีขึ้น
แนวทางนี้อาจไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาในรอบนี้ แต่จะเป็นการป้องกันปัญหาในครั้งต่อๆ ไป
นั่นคือการวางแผนจัดส่งสินค้าให้ดีขึ้น ประเมิน sale volumne, sale velocity จากข้อมูลที่หาได้ ทั้งจากลิสสินค้าของคุณเองและจากคู่แข่ง
ปัจจุบันการส่งสินค้าไปต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการส่งสินค้าเอกชน
เราสามารถประเมินช่วงเวลาในการจัดส่ง (tracking) ได้ค่อนข้างดีและใกล้เคียงความเป็นจริงมาก
(เดี๋ยวนี้ผมพบว่าปัญหาเติมของไม่ทันเกิดจากฝั่ง Amazon มากกว่า นับช้า นับพลาด)
Update June 2018:
สำหรับค่า Long-term Storage ในรอบเดือนสิงหา 2018 นี้
ใครที่มีของในสต็อค FBA ให้ดูอีเมลนี้ของตัวเองนะครับ Amazon สรุปค่า long-term ที่คุณต้องจ่ายมาให้แล้ว
โดยค่า Long-term storage รอบนี้จะเป็นการปรับรูปแบบและเรตใหม่ แถมมี option เพิ่มด้วย
Units that have been in a US fulfillment center for 181 to 365 days on August 15 will incur a long-term storage fee of $11.25 per cubic foot on that date. Units that have been in a fulfillment center for more than 365 days will incur a fee of $22.50 per cubic foot.
Starting with the August 15 inventory cleanup, we are introducing a minimum charge of $0.50 per unit per month for items that have been in a fulfillment center for more than 365 days. Sellers will pay either the long-term storage fee or the minimum charge, whichever is greater.
สรุปได้ตามนี้ :
- สินค้าที่เก็บ FBA เกิน 181 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน จะคิดค่า Long-term storage 11.25 usd ต่อ ลูกบาศก์ฟุต (คิว)
- สินค้าที่เก็บ FBA เกิน 365 วัน จะคิดค่า Long-term storage 22.50 usd ต่อ ลูกบาศก์ฟุต (คิว)
**option ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ หลังจากวันที่ 15 สิงหานี้เป็นต้นไป สินค้าที่เก็บใน FBA เกิน 365 วัน จะถูกคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก “ชิ้นละ” 0.5 usd (ต่อชิ้น ต่อเดือน)
เมื่อถึงรอบ Long-term storage หน้า Amazon จะประเมินอีกทีว่า ส่วนที่เกิน 365 วัน ค่าธรรมเนียมไหนที่ Amazon ได้มากกว่า คุณก็ต้องจ่ายเท่านั้นครับ
ทำ FBA label ด้วยสติ๊กเกอร์สำเร็จรูป
พระเอกของเรื่องนี้ก็คือ สติ๊กเกอร์ label ซึ่งในไทยมีหลายยี่ห้อมาก หาซื้อได้ตามห้างใหญ่ๆ ทั่วไป B2S, OfficeDepot หรือจะสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บดังๆ ก็มีเพียบครับ
หน้าตาของสติ๊กเกอร์ label เป็นแบบนี้
แต่ละยี่ห้อจะมี ขนาดช่อง ที่แตกต่างกันเล็กน้อย
ขนาดช่อง เช่น 27x38mm., 16x50mm. เป็นต้น
มีเยอะซะขนาดนี้ จะเลือกแบบไหนหล่ะ ??
ไปดูขนาด label มาตรฐาน Amazon FBA ครับ
ตัวอย่าง
44-up labels 48.5 mm x 25.4 mm on A4
ความหมายคือ พิมพ์ label บนกระดาษ A4 จะได้สติ๊กเกอร์ขนาด 48.5 x 25.4 มิลลิเมตร จำนวน 44 ชิ้น
เราแค่จับคู่ระหว่าง ขนาดของ label กับ กระดาษที่จะซื้อ
ถ้าเราจับคู่ขนาดดีๆ นอกจากจะลดเวลาในการทำงานแล้ว เรายังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้อีก
ตัวอย่าง ยี่ห้อ See-D ผมอาจจะเลือกรุ่น A11a (ขนาดลาเบล 30×55 มิล พิมพ์ได้ 27 ชิ้นต่อแผ่น)
คู่เทพ ที่ผมเจอคือ…. !!!
กระดาษยี่ห้อ ช้าง รุ่น 18-040 ขนาด label 48.5×16.9 มิลลิเมตร
จับคู่กับ Amazon FBA 30-up labels 1” x 2-5/8” on US Letter
ทำไมถึงเรียกว่าคู่เทพ ??
ก็เพราะว่า ในกระดาษสติ๊กเกอร์ 1 แผ่น สามารถพิมพ์ label ได้ถึง 64 ชิ้น ประหยัดเวลา และประหยัดตังค์ไปได้เพียบ
คุณจะเห็นว่า กระดาษบางรุ่นสามารถปริ้นสติ๊กเกอร์ได้เป็นร้อยชิ้น ซึ่งจำนวนชิ้นที่มากก็จะมาพร้อมกับขนาด (ต่อชิ้น) ที่เล็ก
ในกระบวนการรับสินค้าเข้า FBA store อาจทำให้งานของพนักงานยากขึ้น
วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยเช็คว่า สติ๊กเกอร์ขนาดไหนใช้งานได้ หรือไม่ได้ ก็แค่ ดาว์นโหลด Amazon Seller app มาติดตั้งไว้ในมือถือ แล้วลองสแกนเจ้าสติ๊กเกอร์ชิ้นเล็กที่คุณไม่แน่ใจดู
เมื่อเลือกกระดาษสติ๊กเกอร์ได้แล้ว มาดูขั้นตอนการทำครับ
- ทสั่งพิมพ์ label ของสินค้าที่ต้องการจากระบบของอเมซอน แค่ 1 ชิ้น
- นำไฟล์ label ที่เป็น pdf มาเปิดด้วยโปรแกรมแต่งภาพ (Photoshop หรือโปรแกรมอื่นๆ ที่สะดวก)
- ใช้คำสั่ง Crop หรือตัด เพื่อให้ขนาด label ใกล้เคียงกับขนาดสติ๊กเกอร์ที่เราซื้อมา
- เซฟไฟล์ที่ Crop แล้วเป็นรูปภาพ (jpg หรือ png ก็ได้)
- นำไปเปิดกับโปรแกรมพิมพ์สติ๊กเกอร์ ที่แถมมากับกระดาษ เช่น ตราช้าง สามารถไปโหลดได้ที่นี่**เท่าที่เห็นสติ๊กเกอร์ทุกยี่ห้อจะมีซีดีโปรแกรมแถมมาให้ จะใช้ในแผ่น หรือโหลดจากเว็บก็ได้ครับ
- นำรูป label ไปวางในโปรแกรม แล้วสั่งพิมพ์ได้ตามขนาดกระดาษเลย
**สำหรับท่านที่ใช้เครื่อง mac อาจจะมีปัญหาเหมือนผมคือ ไม่สามารถใช้งานโปรแกรมพิมพ์ได้ ต้องใช้การนำรูป label ไปวางในตาราง template แทน (ตามวีดีโอตัวอย่าง)
ต้องขอบคุณวิธีการและไอเดียในการทำ FBA label นี้จาก เพื่อนๆ ในกลุ่ม AMZ Commerce ที่แชร์ความรู้และวิธีการดีๆ ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานลงไปได้มาก 😉
Leave a Reply